วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Total Recall (2012) ความฝัน | ความจริง

ระหว่าง "ความฝัน" ที่บรรดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างที่ใจคุณต้องการ กับ "ความจริง" ที่แม้จะโหดร้าย แต่ก็อันตรายน้อยกว่าถ้าเทียบกับการต้องติดอยู่ในความฝันไปตลอดกาล แล้วถ้าทั้งสองอย่างนี้มาซ้อนทับกัน ระหว่าง ความฝัน | ความจริง คุณจะสามารถแยกมันออกจากกันได้หรือไม่ แล้วสิ่งไหน คือความจริงกันแน่?


เรื่องย่อ
Total Recall (2012) คนทะลุโลก : ในปี 2084 มนุษย์สามารถเดินทางไปอาศัยในดวงดาวอื่นได้แล้ว ช่างก่อสร้างนาม ดั๊ก เควด(Arnold Schwarzenegger) ผู้มีภรรยาแสนสวย ลอรี่(Sharon Stone) ชีวิตบนโลกของเขาน่าจะไม่มีอะไรแปลกประหลาด หากแต่ในทุกค่ำคืน ดั๊ก เควด ถูกรบกวนโดยภาพฝันเกี่ยวกับการเดินทางไปดาวอังคาร แต่ภรรยาของเขาคิดว่าเป็นแค่จินตนาการของเควด ที่ต้องการหนีจากชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย แล้วความฝันของเควดก็เป็นจริงเมื่อโฆษณาของ คอล รีกอล “เราสามารถสนองฝันคุณให้เป็นจริง” ทำให้เควดได้กลายเป็นสายลับเผชิญภัยในดาวอังคาร แต่แล้วเมื่อมีบางสิ่งผิดพลาด ทำให้ความฝันของเขาถูกลบออก เขาพบว่าตัวเขาอยู่บนดาวอังคารจริงๆ ภรรยาของเขาแท้จริงเป็นสายลับที่หวังล้างสมองของเขา อีกทั้ง เควดยังถูกตามล่าจากคนของโคฮาเจน สิ่งที่เควดต้องการรู้คือเขาเป็นใคร การค้นหาคำตอบที่ดีที่สุดระทึก เพื่อทวงความทรงจำของเควดจึงเริ่มต้น

 เป็นหนึ่งในหนังที่ชอบและประทับใจมากๆ  ทั้งนักแสดง เนื้อเรื่อง เอฟเฟก มุมกล้อง เป็นอะไรที่ลงตัว โดยเฉพาะเนื้อเรื่องที่เข้มข้น มีการหลอกล่อคนดูให้สับสนว่าตกลงแล้ว พระเอกกำลังอยู่ในความฝันหรือความจริงกันแน่ ในหนังแอบสอดแทรกหลายๆ อย่างที่ทำให้คนดูคิดสังเกตว่าตกลงเป็นโลกไหน แล้วแต่คนดูจะมอง


ตอนที่พระเอกเลือกอยากฝันเป็นสายลับ เราก็คิดเล่นๆ ว่า ความฝันของผู้ชายส่วนมากก็คงจะมีสายลับนี่แหละที่อยากเป็นกันอันดับต้นๆ ได้จับปืน สู้กับผู้ร้าย เหมือนได้ย้อนไปในวัยเด็กที่มโนเก่งเลย 

ฉากสาดกระสุนในเรื่องนี้ก็เป็นการถ่ายที่แอบรู้เบื้องหลังมาว่าใช้กล้องหลายตัวมากในการจับภาพของกระสุนที่พุ่งมา กว่าจะเป็นเอฟเฟกตระการตาได้อย่างในหนัง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยจริงๆ และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เอฟเฟกดีมาก เพราะเป็นหนังไซไฟด้วย ข้างของเครื่องใช้ อะไรๆ ก็เลยดูโอเวอร์เทคโนโลยีไปหมด ตั้งแต่ยานที่พุ่งทะลุพื้นโลกจากทวีปนึงไปอีกทวีปหนึ่ง หรือการให้เราเข้าไปมีบทบาทในฝันที่เราเลือกเอง ดูจะเป็นความฝันของใครหลายๆ คน

ในตอนสุดท้าย แม้เรื่องจะไม่ได้เฉลยว่าตกลงแล้วพระเอกกลับมาสู่โลกความจริงได้หรือยัง แต่ก็มีจุดสังเกตที่ทำให้คนดูเข้าใจได้ว่าที่สุดแล้วเป็นอย่างไร ตัวหนังดำเนินเนื้อเรื่องกระชับ ไม่ยืดยาด ฉากต่อสู้ก็ตื่นเต้น บู๊กระจาย มีการหลอกซ้อนการหลอกให้คนดูสับสน แต่ก็เป็นจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ที่จะทำให้คนดูไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม เป็นหนังที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว


The Hunger Games 2 นางเอกสุดแกร่ง (+spoil)

The Hunger Games 2 ชื่อตอน Catching Fire เป็นหนึ่งในหนังที่รอดูตั้งแต่ดูภาค 1 จบใหม่ๆ เลย เพราะภาค 1 ทำได้ค่อนข้างดี ชอบคาแรกเตอร์ของนางเอกที่เป็นคนกล้าหาญ กล้าคิดกล้าทำ ไม่อ่อนแอรอให้พระเอกมาช่วย นอกจากฉากต่อสู้สุดมันส์ในเกมล่าชีวิตแล้ว เรื่องนี้ยังแฝงเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองไว้อีกด้วย (แล้วก็มาเห็นชัดตอนภาค 2 นี่แหละ)


เรื่องย่อ
เมื่อ แคทนิส (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) และ พีตา (จอช ฮัทเชอร์สัน) เดินทางกลับสู่เขต 12 ในฐานะผู้ชนะเกมล่าชีวิตครั้งที่ 74 อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีสโนว์ ที่พบว่าถูกกลุ่มคนเล็กๆท้าทายอำนาจ ตัดสินใจที่จะจัดเกมล่าชีวิตครั้งที่ 75 ด้วยการนำอดีตผู้ชนะจากทั้ง 12 เขตมาต่อสู้กัน ซึ่งก็รวมถึงสองตัวแทนคนสำคัญ ฟินนิก โอแดร์ (แซม คาฟลิน) และ โจแฮนน่า เมสัน (จีน่า มาโลน) ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้เอง ก็กลายเป็นชนวนครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงพาเน็มไปตลอดกาล..

ภาคนี้นางเอกสวยขึ้นเยอะ  //ไม่ใช่ประเด็น
---ต่อไปนี้อาจมีการสปอย โปรดใช้วิจารญาณ---

เนื้อเรื่องจะเริ่มจริงจังมากขึ้น และเริ่มเผยประวัติของอดีตผู้ชนะในเกมล่าชีวิตที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ละคนดูมีประสบการณ์มาก ที่ชอบในหนังก็คือ ฉากตอนที่ทำการฝึกซ้อม ในภาคที่ 1 ห้องฝึกซ้อมจะเป็นห้องดูธรรมดาๆ มีอุปกรณ์ฝึกซ้อม มีที่ซ้อม เพราะเด็กจากแต่ละเขตจะต้องมาเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับการต่อสู้แบบนับหนึ่ง ยกเว้นพวกเขตที่มีประสบการณ์มาแล้ว แต่ภาคนี้ เพราะแต่ละคนเคยเป็นผู้ชนะในเกมนี้มาแล้ว เป็นผู้ใหญ่ๆ ทั้งนั้น ห้องฝึกซ้อมเลยดูหรูหรา ไฮโซ มีเครื่องจำลองคู่ต่อสู้แบบ 3 มิติ และนางเอกเราก็โชว์เหนือจนใครๆ ก็อยากได้มาร่วมทีม


ในภาคนี้ แคทนิสประกาศแต่งงานกับพีตาแล้วด้วย เพราะความจำเป็น ถูกสโนว์ข่มขู่ว่าหากไม่ให้ความร่วมมือ ครอบครัวของแคทนิสจะมีอันตราย ทั้งสองเลยต้องเล่นเป็นคู่รักกันต่อไป พีตาผู้เสียสละก็ยอมทุกอย่างเพื่อนางเอก ทั้งที่ก็รู้ว่านางเอกไม่ได้มีอารมณ์รักใครอะไรด้วยเลย เป็นพระเอกแสนดีที่น่าสงสารอะไรเเบบนี้  

คนที่เคยดูคงจะจำได้ว่าก่อนเริ่มเกมจะต้องมีการสัมภาษณ์ และชุดที่นางเอกใส่ไปสัมภาษณ์คราวนี้เป็นชุดแต่งงานที่ดีไซเนอร์จงใจให้ใส่ และนางเอกก็บอกว่าใส่มาเพราะคงไม่มีโอกาสได้ใส่อีกแล้ว เป็นการประชดประชันที่เจ็บจี๊ด เพราะคนที่จัดเกมล่าชีวิตขึ้นก่อนงานแต่งงานของเธอก็สโนว์เองนี่นะ

สนามแข่งคราวนี้เป็นป่าเขตร้อน 
ชุดเลยต้องคล่องตัวและระบายอากาศได้ดี

และจากที่ประธานาธิบดีจัดการแข่งมาเพื่อให้ฆ่ากันเอง ก็กลายเป็นว่าอดีตผู้ชนะทั้งหลายร่วมมือกันเพื่อจะเอาชนะแผนการของสโนว์ ฉากตอนท้ายที่แคทนิสยิงลูกธนูออกไปทำลายท้องฟ้าของเกม ทำให้เกมจำลองถูกทำลายและเพดานก็พังลงมา กลายเป็นว่าเกมล่าชีวิตที่เล่นกันอยู่นั้นเป็นแค่ฉากจำลองในสถานที่ๆ หนึ่งเท่านั้น ทำให้เรารู้สึกว่าการทำลายเกมของนางเอกนั้นเหมือนเป็นการทำลายพันธะ ข้อผูกมัดต่างๆ ที่นางเอกต้องแสร้งทำมาตลอดตั้งแต่เริ่มเรื่อง และเปลี่ยนจากการยอมจำนนมาเป็นการปฏิวัติแทน ตอนสุดท้ายมีหักมุมให้คนดูประหลาดใจเล็กน้อย ว่า เอ๊ นี่เราโดนคนๆ นี้หลอกตั้งแต่เริ่มเรื่องเลยหรือนี่   และจากเมื่อก่อนที่เจ้าชายไปช่วยเจ้าหญิงที่ถูกปีศาจลักพาตัวไป สมัยนี้มันเอาท์ไปแล้ว ต้องเป็นนางเอกไปช่วยพระเอกที่ถูกลักพาตัวไปต่างหาก จินตนาการว่าพีตาคือเอเลนในเรื่องไททัน

เนื้อเรื่องดำเนินเข้าสู่การปฏิวัติสังคมเมืองใหม่ อาจจะเปลี่ยนแปลงไปให้ทุกคนเท่าเทียมกันซึ่งเป็นเรื่องยาก ดูจากนิสัยสุดโต่งของประชากรในเซนทรัลแล้ว พวกเขาคงพอใจกับชีวิตแบบนี้และไม่มีทางอยากกลับไปตกต่ำกว่าเดิมแน่ 

รอติดตามภาค 3 ค่ะ 




วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

The Mortal Instruments จากนิยายสู่หนังโรง

The Mortal Instruments : City of Bones เป็นอีกหนึ่งผลงานของผู้เขียนนิยายรักระหว่างแวมไพร์กับเด็กสาวที่เป็นที่นิยมอย่างล้นหลามถึงขนาดมีภาคต่อออกมาหลายภาค พอผลงานใหม่ได้มาทำเป็นหนังอีกครั้งก็เลยน่าสนใจ เป็นเรื่องราวแฟนตาซีอีกเช่นเคย เราเคยอ่านแบบเป็นนิยายมาแล้ว มาดูกันว่าฉบับหนังโรงจะทำออกมาได้ดีไหม


เรื่องย่อ
เรื่องราวเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อว่า แคลลีย์ (Lily Collins) ได้พบกับเด็กหนุ่มประหลาดชื่อเจซ (Jamie Campbell Bower) ที่บอกว่าตัวเขาเองเป็น นักล่าเงา ลูกครึ่งเทพ ครึ่งมนุษย์ มีหน้าที่คอยออกตามล่าและกำจัดพวกปิศาจจาก­ทั่วโลก ที่คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้ แล้วจู่ๆแม่ของแคลลีย์ ก็ถูกจับตัวไป ที่สุดแล้วเธอก็ได้รู้ว่า เรื่องราวลึกลับที่เกี่ยวกับปีศาจบนโลกนี้­ทั้งหมดที่เคยถูกเล่าขานมาเป็นเรื่องจริง และแม่ของเธอก็มีเรื่องราวซับซ้อนเกี่ยวกั­บความเป็นมาของตัวเธอ เจซจึงพาแคลลีย์ไปยังเมืองโครงกระดูกเพื่อ­ไขปริศนาลึกลับทั้งหมด

ส่วนตัวแล้วไปดูหนังมาก่อนที่จะไปหานิยายมาอ่านต่อ ความรู้สึกตอนที่ดูจบก็ถือว่าดี เอฟเฟกภาพตระการตา ตัวละครก็หน้าตาดีดูได้เรื่อยๆ (อิอิ) แต่รู้สึกว่าเนื้อเรื่องรวบรัดไปนิด คนที่ไม่เคยอ่านนิยายมาจะดูไม่ค่อยรู้เรื่อง เดี๋ยวก็โผล่ไปนั่นไปนี่ พลังของนางเอกอยู่ดีๆ ก็เก่งขึ้นมา มีช่องโหว่ในหนังหลายเรื่อง

พอได้อ่านนิยายจะยิ่งรู้สึกว่า หนังนั้นตัดรายละเอียดไปหลายส่วนมาก เข้าใจว่าเวอร์ชั่นหนังนั้นจะยืดยาวเยิ่นเย้อไม่ได้ แต่นี่ก็อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รายได้ออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควรจนมีข่าวออกมาว่าอาจจะไม่มีภาค 2 ต่อ ทั้งที่ฉบับนิยายเป็นที่นิยมมากจนพิมพ์ซ้ำหลายรอบ แต่ตัวเราอยากให้มีภาคต่อออกมามากว่า เพราะภาคนี้เป็นแค่ภาคแรก เนื้อเรื่องอาจจะเรื่อยๆ ไม่สนุกมาก แต่ภาคหลังๆ เนื้อเรื่องจะเข้มข้น ตื่นเต้น จนคิดว่าถ้าทำเป็นหนังออกมาได้คงจะดีไม่น้อย


ล่าสุดก็มีข่าวรายงานจากเว็บไซต์ MovieWeb.com ถึงความคืบหน้าของภาพยนตร์เรื่องจาก Martin Moszkowicz ว่า "เสียงตอบรับของแฟน ๆ ทั้งจากในบล็อก และอีเมลทั้งหลายที่เราได้รับ ทำให้เราพยายามสร้างภาคต่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดี ผิดกับหนังจากนิยายบางเรื่อง"

นอกจากนี้ เขายังเปิดเผยว่า สตูดิโอกำลังวิเคราะห์จุดบกพร่องของหนังต้นฉบับอยู่ โดยกล่าวว่า"ตอนนี้เรากำลังวิเคราะห์จุดบกพร่องจากภาพยนตร์ภาคแรก โดยเฉพาะในเรื่องของการวางตัวละครและการตลาด เรากำลังทำงานกับคนกลุ่มใหญ่เพื่อปรับวางตัวละครใหม่ ผู้อ่านหนังสือ Mortal Instruments นั้นอายุมากกว่าที่คิด นี่คือสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงเกี่ยวกับการตลาด ว่าเรากำลังเจาะกลุ่มผู้ชมอายุน้อยมากเกินกว่าความเป็นจริงหรือเปล่า"

ก็คงยืนยันแล้วว่าจะมีภาค 2 แต่ภาคใหม่นี้คงได้เห็นการพัฒนาของตัวละครที่ดีมากขึ้น คิดว่าแรกๆ ทีมงานคงเน้นไปที่กลุ่มวัยรุ่นอายุต้นๆ ทั้งที่จริงแล้วคนอ่านเรื่องนี้มีหลายวัย และส่วนมากจะมีอายุเลยวัยรุ่นขึ้นไป หากทำการตลาดใหม่ เรื่องนี้อาจจะดังเปรี้ยงปร้างตามรุ่นพี่อย่างทไวไลท์ก็เป็นได้

วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

โดราเอมอน กับ พิพิธภัณฑ์ของวิเศษ

คงไม่มีใครรู้จักเจ้าแมวสีฟ้า หัวกลมๆ มีกระเป๋าหน้าท้องเป็นเอกลักษณ์ ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึง โดราเอมอน หุ่นยนต์แมวในฝันของเด็กๆ นั่นเอง (โตแล้วก็ยังอยากได้ค่ะ ขอสารภาพ ´∀`)* ปี 2013 ที่ผ่านมาก็ได้มี โดราเอมอน เดอะมูฟวี่ 2013 ตอน โนบิตะล่าโจรปริศนาในพิพิธภัณฑ์
ของวิเศษ และแล้วเจ้าแมวสีฟ้าได้กลับมาโลดแล่นบนจออีกครั้ง! 




เรื่องย่อ
เมื่อกระดิ่งของโดราเอมอนถูกจอมโจรดีลักซ์ขโมยไป โดราเอมอนกลายเป็นแมวเสียสติ โนบิตะจึงสวมบทเป็นนักสืบ ใช้อุปกรณ์วิเศษเรียกว่า เชอร์ล็อกโฮล์มเซ็ต ในการหาคนร้าย แล้วเบาะแสก็ได้พาผองเพื่อนไปยังพิพิธภัณฑ์ของวิเศษแห่งโลกอนาคต ที่รวบรวมของวิเศษทุกชิ้นที่เคยมีมาในโลกนี้ จนกระทั่งจอมโจรดีลักซ์ผู้ที่ขโมยกระดิ่งของโดราเอมอนไปก็ปรากฏตัวขึ้น และหมายตาของวิเศษในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อีกเช่นกัน เบื้องหลังของจอมโจรผู้นี้คืออะไร และโนบิตะกับผองเพื่อนจะตามหากระดิ่งของโดราเอมอนเจอได้หรือไม่ การผจญภัยในแดนมหัศจรรย์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโดราเอมอนเดอะมูฟวี่กำลังรอทุกคนเข้าไปค้นหาความลับในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กันอยู่

เป็นตอนที่ทุกคนจะได้เห็นของวิเศษที่คุ้นเคยกันดี และของใหม่ที่เรายังไม่เคยได้เห็น เช่นอุปกรณ์รุ่นล่าสุด หรืออุปกรณ์รุ่นเก่าเช่นประตูไปไหนก็ได้ในยุคแรกๆ

ตื่นตาตื่นใจกับของวิเศษในพิพิธภัณฑ์มาก การจัดห้อง แบ่งของวิเศษตามลักษณะการใช้งานทำให้แยกออกมาได้เป็นห้องๆ ทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่ติดขัด เวลาเห็นของวิเศษแบบเดียวกันมารวมเป็นกลุ่มใหญ่ก็รู้สึกเหมือนของนั้นมีพลังมากขึ้น เด็กๆ ก็ชมได้อย่างสนุกสนาน ถ้าพิพิธภัณฑ์ที่บ้านเราจัดแบบนี้ได้ คนคงเข้าไปเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสายเลยทีเดียว

ในตอนนี้ทุกคนจะได้เห็นความสำคัญของกระดิ่งที่โดราเอมอนใส่อยู่ทุกวัน กับสายสัมพันธ์ของโนบิตะและโดราเอมอนที่จะทำให้ทุกคนซึ่ง

ในส่วนของภาพและเนื้อเรื่อง ทำออกมาได้ดีทีเดียว ทีมงานมีการปรับปรุงคุณภาพและพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนสงครามเงือกใต้สมุทรที่เป็นฉบับออริจินอลของทีมงานแอนิเมชั่น ที่เราดูแล้วรู้สึกเนื้อเรื่องมันเฉื่อยๆ น่าเบื่อไปหน่อย แต่ก็พัฒนามาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้เราคิดว่าดีขึ้นมาก เนื้อเรื่องกระชับ มีปมปัญหา มีจุดไคล์แมก มุมกล้องก็น่าสนใจ เป็นแอนิเมชั่นที่ดูได้เรื่อยๆ ไม่รู้สึกติดขัดมากนัก




วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หนังแนวใหม่ สไตล์ พี่เจ้ย อภิชาติพงศ์

วันเสาร์ที่ผ่านมา ดาดฟ้ามีเดียก็จัดกิจกรรม Untitle for Film โปรแกรมในวันนั้นก็จะเป็นการฉายหนังสั้นของ พี่เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เจ้าของผลงานชื่อดังอย่าง 'ลุงบุญมีระลึกชาติ' ที่ได้รับรางวัลปาล์มทองคำ เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 63 หลังจากจบโปรแกรมหนังก็จะมีพูดคุยเกี่ยวกับการทำงานของพี่เจ้ย เป็นแนวทางการศึกษาให้กับละอ่อนมีเดียปี 1 หน้าตาใสซื่อ (ตอนที่ดูหนังก็หน้าซื่อตาใส ดูไม่รู้เรื่อง ถถถ) 





โปสเตอร์หนังเรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ (Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives) 


แต่ที่ไปดูวันเสาร์ไม่มีการฉายหนังเรื่องลุงบุญมีนะคะ 
คาดหวังกันว่าเราจะมารีวิวหนังเรื่องนี้ล่ะสิ อิอิ
(ใครคาดฟระ)





                 อันนี้เป็นโปรแกรมการฉายหนัง เป็นหนังสั้นที่พี่เจ้ยได้รับทุนจากต่างประเทศและทดลองสร้าง บางเรื่องดูแล้วไม่เข้าใจเลยว่าหนังต้องการจะสื่ออะไร ซึ่งพี่เจ้ยก็ได้พูดในช่วงพูดคุยแล้วว่า 'ที่ดูไม่เข้าใจน่ะถูกต้องแล้ว เพราะหนังแบบนี้ไม่ได้สร้างมาเผื่อให้คนดูเข้าใจ'

แสดงว่าเราถูกแล้วสินะที่ดูไม่รู้เรื่อง
เย้ !

                 ที่รู้เรื่องที่สุดเห็นจะเป็นเรื่อง 'บ้านผีสิง' หรือ 'Haunted Houses' ดูตอนแรกๆ แล้วตลกมาก ตัวละครในหนังแสดงท่าทางเหมือนตัวละครในละครหลังข่าวที่เรามักจะเห็นกันบ่อยๆ จำพวกคุณหญิงคุณนาย สามีนอกใจไปมีเมียน้อย ภรรยาหลวงป่วยใกล้ตาย พอดูซักพักเราก็จะเริ่มเห็นว่า อ้าว มีการเปลี่ยนตัวแสดงนี่นา ในหนังก็จะยังเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับละครอยู่ แต่นักแสดงจากรุ่นคุณลุงคุณป้าก็กลายไปเป็นรุ่นคุณตาคุณยาย โดยที่บทก็ยังแสดงเป็นคุณหญิงคุณนายในละครกันอยู่ 

                 พี่เจ้ยได้พูดถึงแนวคิดในเรื่องนี้ว่า เวลาละครหลังข่าวออกทีไร บ้านทุกบ้านก็จะพากันจดจ่ออยู่หน้าจอโทรทัศน์ บ้านทุกหลังก็จะเงียบเหมือนบ้านผีสิง และที่เปลี่ยนตัวนักแสดงไปเรื่อยๆ นั้น ก็เพื่อสื่อว่าบางทีเราที่กำลังดูละครอยู่ ก็จะชอบสมมุติตัวเองว่าเป็นตัวเอกอยู่ในละครเรื่องนั้น กำลังแสดงละครเรื่องนั้นอยู่นั่นเอง

หนังแบบนี้ในไทยคงจะหาทุนช่วยยาก เป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นถึงข้อจำกัดของการหาทุนสร้างหนังในเมืองไทย ถ้าไม่ใช่หนังในกระแสที่จะทำรายได้มหาศาล หรือเป็นหนังแนวประวัติศาสตร์ เพิ่มพูนความรู้ ก็ไม่ค่อยจะมีผู้สนับสนุน ต่างจากของต่างประเทศที่มักจะให้ทุนสร้างหนังได้โดยไม่เกี่ยงประเภท ขอแค่ทำตามเงื่อนไขที่เขาให้มาเท่านั้น

ถ้าเมืองไทยเปิดกว้างมากขึ้นอีกหน่อย เราก็คงจะได้เห็นหนังดีๆ ที่นำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจเข้ามาในวงการภาพยนตร์ไทยมากขึ้น เป็นที่น่าสงสัยว่าต้องรออีกกี่ปีกันหนอ กว่าจะถึงวันที่สังคมไทยจะเปิดกว้างแบบนั้น

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Upstream Color | Cycle แบบงงๆ

หนังอินดี้ที่ติดอันดับหนังหน้าจับตามอง หนึ่งในนั้นมีหนังเรื่อง Upstream color ติดโผด้วย และแล้วหลังจากที่ได้ไปดูมากับตัว เห็นมากับตา ก็ไม่มีคำบรรยายอื่นนอกจากว่านี่เป็น 'หนังอินดี้' จริงๆ ให้ตายเถอะค่ะจอร์ช!


                     เป็นเรื่องราวของ Kris และ Jeff ทั้งคู่โดนให้ดื่มน้ำยาประหลาดๆ ที่มีปรสิตอยู่ แล้วปรสิตนั้นก็เข้าไปอาศัยในตัวของทั้งคู่ จากนั้น The Sampler ก็ช่วยโดยการดูดปรสิตออกจากตัวไปใส่ไว้ในหมูที่เขาเลี้ยง เหมือนเป็นการทดลองอะไรสักอย่าง The Sampler ก็มีงานอดิเรก เป็นการบันทึกเสียงจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่เขาทำขึ้น เช่นกลิ้งหินในท่อระบายน้ำเก่าแล้วบันทึกเสียงไว้ จากนั้นก็มาเปิดให้หมูที่เลี้ยงฟัง ทางด้าน Kris และ Jeff เองก็เริ่มมีอาการผิดปกติ พวกเขาได้ยินเสียงแปลกๆ เป็นเสียงเดียวกันกับที่หมูได้ยิน แล้วเมื่อหมูออกลูก The Sampler ก็เอาลูกหมูไปโยนน้ำ (โยนทำไมไม่เข้าใจ) น้ำในแม่น้ำที่มีศพลูกหมูอยู่ก็ปนเปื้อนทำให้ดอกกล้วยไม้สีขาวที่ขึ้นอยู่รอบๆ กลายเป็นสีน้ำเงิน ดอกไม้นั้นถูกคนเก็บไป และดินรอบๆ ดอกกล้วยไม้นั้นก็มีปรสิตอยู่ด้วย

งงใช่ไหมล่ะ เราเขียนเองยังงงเอง เนื้อเรื่องดูแล้วมันงง
โอ้ย....งง



                     ดูเหมือนว่า Upstream Color จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับ Cycles หรือวงจรที่เวียนไปมาซ้ำๆ อย่างไม่มีจุดเริ่มต้น ความสัมพันธ์ของทุกอย่างในเรื่องเกี่ยวข้องกัน หมุนเวียนกันเป็นวงจร ดูจากรูปก็จะเข้าใจมากขึ้น อยากเข้าใจมากกว่านี้ก็ต้องไปดูเองนะคะ ฮี่ฮี่ 

                     เรื่องนี้โดดเด่นที่การลำดับภาพ ในหนังจะมีการลำดับภาพแบบทำให้ผู้ชมงง(มันต้องตั้งใจแน่ๆ) ประกอบกับเนื้อเรื่องที่เข้าใจยาก ตอนที่ดูเลยได้แต่นั่งตาลอย รู้เรื่องแค่ว่าองค์ประกอบภาพสวยดีเนอะ... พอจบแล้วก็ เฮ้ย! ตกลงต้องการจะสื่ออะไรเนี่ยยยย!? ต้องพึ่งใบบุญอาจารย์มาอธิบายเนื้อเรื่องให้ฟัง เป็นหนังที่ประสบความสำเร็จในการทำให้เรางงจริงๆ ค่ะ





The Grandmasters ยอดปรมาจารย์ยิปมัน

ส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบดูหนังบู๊ เพราะดูหนังบู๊ทีไรรู้สึกเหมือนจะหลับ ฟังเสียงตุ้บ ตั้บ พลั่ก ผั๊วะ ทั้งหลายทั้งมวลแล้วราวกับเสียงกล่อมนอนจริงๆ หรือท่านแม่จะเลี้ยงดูเราด้วยลำแข้ง แต่สำหรับเรื่อง 'The Grandmasters' หรือชื่อภาษาไทย 'ยอดปรมาจารย์ยิปมัน' จัดว่าเป็นหนังชีวประวัติที่ดีเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว



เนื้อเรื่อง จาก Wikipediaฝ่อซาน ในปี ค.ศ. 1936 ยิปมัน ในวัย 40 ปี ในฐานะตัวแทนของกังฟูแดนใต้ ได้ประลองฝีมือกับสุดยอดกังฟูแดนเหนือ โดย อาจารย์กง ผู้เป็นปรมาจารย์ของ 64 ฝ่ามือสกุลกง ยิปมันสามารถเอาชนะได้ด้วยการหักชิ้นแป้งในมือของอาจารย์กง อาจารย์กงมีบุตรสาวเพียงคนเดียว คือ คุณหนูกง หรือกงเอ๋อ ผู้ซึ่งสืบทอดวิชา 64 ฝ่ามือสกุลกง กงเอ๋อ และยิปมันได้ประลองกันในหอทองคำ ซึ่งเป็นโรงน้ำชามีชื่อของฝ่อซาน ทั้งคู่ไม่อาจรู้แพ้ชนะกันได้

จนกระทั่งสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง อุบัติขึ้น กองทัพญี่ปุ่นได้บุกยึดฝ่อซาน ท่ามกลางความแร้นแค้น บุตรชายหญิงของยิปมันก็ได้ถึงแก่กรรมลง ในระหว่างนี้ หม่าชัน ศิษย์เอกของอาจารย์กง ได้ทรยศด้วยการสังหารอาจารย์กง แล้วไปสวามิภักดิ์ต่อญี่ปุ่น กงเอ๋อสาบานว่าจะแก้แค้นให้ผู้เป็นพ่อ ด้วยการไม่แต่งงาน และฝึกฝนวิชา 64 ฝ่ามือสกุลกง
จนกระทั่งหลังสงคราม ในปี ค.ศ. 1950 ยิปมันได้จากฝ่อซานไปอย่างไม่หวนกลับมาอีก โดยการไปบุกเบิกโรงเรียนสอนหย่งชุนที่ฮ่องกง ที่นั่นยิปมันได้พบกับกงเอ๋ออีกครั้ง ในคืนวันตรุษจีนของปี ค.ศ. 1940 กงเอ๋อได้ประลองกับหม่าชัน และล้างแค้นให้พ่อของตนได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ร่างกายที่บาดเจ็บของเธอทำให้เธอมิอาจฝึกกังฟูได้อีก และต้องใช้ฝิ่นบำบัดอาการเจ็บปวด ไม่นานก็เสียชีวิตลง พร้อมกับมอบของที่ระลึกของตนพร้อมกับความในใจให้แก่ยิปมัน

เนื้อเรื่องดำเนินมาจนถึงปี ค.ศ. 1972 ที่ยิปมันเสียชีวิตลง เพราะยิปมัน กังฟูแบบหย่งชุนจึงได้รุ่งเรืองและแพร่หลายไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก



           ยิปมัน คือปรมาจารย์มวยกังฟูแบบหย่งชุน (มวยที่เน้นการป้องกันตัวและจู่โจมในระยะสั้น เหมาะกับสรีระของผู้หญิง) และยังเป็นอาจารย์ของ บรูซ ลี นักแสดงผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง

           ชีวประวัติของยิปมัน ได้ถูกถ่ายทอดเป็นหนังที่มีความยาวประมาณ 130 นาที ตัวภาพก็ทำออกมาได้สวย มีการคุมโทนสีโดยรวมด้วยสีเหลืองทองในฤดูใบไม้ผลิ และสีโทนเย็นในฤดูหนาว แต่ละฤดูก็สื่อนัยถึงอารมณ์ของตัวละครในขณะนั้นด้วย ฤดูใบไม้ผลิคือช่วงที่ชีวิตยังรุ่งโรจน์ ส่วนฤดูหนาวคือช่วงหลังจากสงครามและชีวิตเริ่มตกต่ำลง



           ในเรื่อง มุมกล้องแบบ eye-level shot หรือมุมมองระดับสายตา จะเห็นมากที่สุดโดยเฉพาะตอนช่วงที่้กล้องมีการโคลสอัพใบหน้าตัวละครเพื่อให้เห็นการแสดงสีหน้าที่ชัดเจน ฉากต่อสู้มักจะเป็นแบบ high angle หรือ bird's eye view เป็นหลัก เพื่อให้เห็นท่วงท่าการต่อสู้ได้ง่าย ฉากต่อสู้ของหนังเรื่องนี้จะดูแข็งแกร่ง นุ่มนวล และลื่นไหล ไม่ติดขัด อีกทั้งเสียงประกอบยังช่วยเพิ่มความรู้สึกในการชมเป็นอย่างมาก ทั้งดนตรีประกอบ ทั้งเสียงตอนต่อสู้กัน มีการคุมรายละเอียดไปจนถึงเสียงสะบัดของเนื้อผ้า ถึงแม้จะเป็นรายละเอียดน้อยๆ แต่เมื่อมารวมกันในฉากต่อสู้แล้วก็สามารถทำให้ฉากนั้นดูยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ทันที